ผลประชุม ก.ค.ศ. 4/2567

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 4/2567 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ โดยมีมติการประชุมที่สำคัญ ได้แก่

– เห็นชอบแนวทางการบริหารงานบุคคลสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพัฒนาบทบาทหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาวิชาการในสถานศึกษาในภาพรวมทุกสังกัด

– เห็นชอบแนวปฏิบัติการนำผลการทดสอบความสามารถทางภาษาต่างประเทศ เทียบกับเกณฑ์ CEFR สูงกว่าระดับ B2 มาใช้ในการลดระยะเวลาตามเงื่อนไขคุณสมบัติเฉพาะสำหรับวิทยฐานะของผู้ขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ

– เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีสาระสำคัญ คือ คุณสมบัติของผู้ขอย้ายกรณีปกติ ได้ปรับระยะเวลาดำรงตำแหน่งจากหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่กำหนดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งไม่น้อยกว่า 12 เดือน (1 ปี) เป็น “ไม่น้อยกว่า 24 เดือน หรือ 2 ปี” เพื่อลดปัญหาการโยกย้ายบ่อยครั้ง ส่งผลถึงความต่อเนื่องในการบริหารสถานศึกษา และเพื่อให้ผู้บริหารมีระยะเวลาในการพัฒนาสถานศึกษาได้ตามแผนพัฒนาสถานศึกษา สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา เกิดประโยชน์ต่อนักเรียน ครู ชุมชน

– เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งปรับปรุงใหม่ ให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับบริบทสังคม และกับนโยบายด้านการศึกษาในปัจจุบัน โดยมีสาระสำคัญที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม สรุปได้ดังนี้

1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครคัดเลือก แบ่งเป็น กลุ่มทั่วไป และเพิ่มเติม “กลุ่มประสบการณ์” ต้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในสายงานบริหารการศึกษา มาแล้วไม่น้อยกว่า 4 ปี และพิจารณาเฉพาะการเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในสายงานบริหารการศึกษาเท่านั้น โดย สพฐ. กำหนดสัดส่วนและจำนวนตำแหน่งว่างฯ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสรรหาฯ และมีผลการประเมินการพัฒนางานตามข้อตกลงในรอบการประเมินที่ผ่านมา ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70

2. หลักสูตรการคัดเลือก แบ่งเป็น 3 ภาค คือ ภาค ก ความรอบรู้เกี่ยวกับการบริหารงานในหน้าที่ และความสามารถในการวิเคราะห์กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ภาค ข การประเมินสมรรถนะทางการบริหาร และภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง

3. เกณฑ์การตัดสิน โดยผู้มีสิทธิเข้ารับการประเมิน ภาค ข และ ภาค ค ให้เรียงลำดับคะแนน ภาค ก จากผู้ที่ได้คะแนน ภาค ก (จากมากไปหาน้อย) จำนวนไม่เกินสองเท่าของตำแหน่งว่างที่ประกาศรับสมัคร โดยต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60

และผู้ได้รับการคัดเลือกต้องได้คะแนนเฉพาะ ภาค ข และ ภาค ค แต่ละภาคไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 (เรียงลำดับคะแนน)

4. การขึ้นบัญชี แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทั่วไป และกลุ่มประสบการณ์ โดยกำหนดระยะเวลาขึ้นบัญชีไม่เกิน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ประกาศขึ้นบัญชีฯ เว้นแต่มีการประกาศขึ้นบัญชีฯ ครั้งใหม่ เป็นอันยกเลิกบัญชีฯ ครั้งก่อน

5. การบรรจุและแต่งตั้ง

– ให้เลขาธิการ กพฐ. สั่งบรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับการคัดเลือกฯ ตามมาตรฐานตำแหน่งฯ ตามสัดส่วนที่กำหนด

– ให้มีการพัฒนาผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามที่ส่วนราชการกำหนด

– ยกเลิกการประเมินสัมฤทธิผลการปฏิบัติงานในหน้าที่เพื่อพัฒนาการศึกษา เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อลดความซ้ำซ้อน เนื่องจากข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่งต้องประเมินผลการพัฒนางานตามข้อตกลง (PA)

– เห็นชอบ (ร่าง) วิธีการบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา ผ่านระบบการบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (School Capacity System : SCS) สังกัด สพฐ. เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำระบบ SCS ไปใช้ได้อย่างถูกต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน

– เห็นชอบรายละเอียดตัวชี้วัดการประเมิน ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่งและวิชาชีพ ในการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)

– เห็นชอบรายละเอียดการดำเนินการเกี่ยวกับการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัด สอศ. ทั้งพื้นที่ปกติและพื้นที่พิเศษ ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เฉพาะจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี และ 4 อำเภอ ในจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอเทพา และอำเภอนาทวี) โดย มีสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

1) การกำหนดองค์ประกอบในการคัดเลือกและวิธีการคัดเลือก ภาค ก ความรู้ความสามารถในการบริหารงาน เพิ่ม ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับบริบท ประเพณีและวัฒนธรรมในพื้นที่ จชต. ภาค ข ความเหมาะสมกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ จชต. ตามระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งและการปฏิบัติงานในพื้นที่ จชต. และภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง

2) เกณฑ์การตัดสิน ผู้ผ่านภาค ก ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 และผู้ได้รับการคัดเลือกต้องได้คะแนน ภาค ก ภาค ข และภาค ค รวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 โดยประกาศรายชื่อผู้ได้คะแนนรวมทั้ง 3 ภาค เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย

3) ระยะเวลาการขึ้นบัญชี ไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่ ประกาศขึ้นบัญชี

4) การเรียกตัวและเงื่อนไขการบรรจุและแต่งตั้ง

– การบรรจุและแต่งตั้ง ให้บรรจุฯ ผู้ได้รับการคัดเลือกฯ ตามมาตรฐานตำแหน่งฯ ตามลำดับที่ที่ขึ้นบัญชี

– กรณีผู้ได้รับการคัดเลือกฯ ที่ถึงลำดับที่ แต่ตรวจสอบพบว่าติดเงื่อนไขอื่นใดตามหลักเกณฑ์ฯ ที่ ก.ค.ศ. กำหนด จะถือว่าผู้นั้นหมดสิทธิในการบรรจุ และให้ยกเลิกการขึ้นบัญชีเฉพาะรายนั้น

– เงื่อนไขการบรรจุและแต่งตั้งฯ จะต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ จชต. เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี (นับแต่วันที่ได้รับการบรรจุฯ) จึงจะขอย้ายออกนอกพื้นที่ จชต.ได้

– การกำหนดข้อตกลงในการปฏิบัติงาน สำหรับผู้อำนวยการสถานศึกษา จะต้องปฏิบัติงานตามกรอบภารกิจของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบาย ศธ. และ สอศ. รวมทั้งยอมรับตัวชี้วัด คะแนนประเมิน และวิธีการประเมินสัมฤทธิผลการปฏิบัติงานในหน้าที่

– อนุมัติ แต่งตั้งอนุกรรมการ ใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา แทนตำแหน่งที่ว่าง รวมทั้งสิ้นจำนวน 62 เขต

– อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 4 ราย

– อนุมัติ บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ได้รับการคัดเลือก ซึ่งขึ้นบัญชีรอการบรรจุ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 2 ราย

– อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่ง

รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 2 ราย

– อนุมัติ บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ได้รับการคัดเลือกซึ่งขึ้นบัญชีรอการบรรจุ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัด สพฐ. จำนวน 3 ราย

นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง

จักรภพ เผ่าเพ็ง: ถ่ายภาพ

สุวิชา บุญญานุพงศ์: กราฟิก

กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน

ขอบคุณข้อมูล: กลุ่มประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ ก.ค.ศ.

30/4/2567